อาหารไม่ย่อย อาหารไม่ย่อยเป็นอาการที่พบได้บ่อยประมาณ 25-40% ของประชากรทั้งหมดต่อปี และพบได้เกือบทุกคนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่จะพบได้มากกว่าในเด็ก ส่วนโอกาสการเกิดอาการมีใกล้เคียงกันทั้งในผู้ชายและผู้หญิง บางคนเป็นครั้งคราว บางคนอาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
อาหารไม่ย่อย
ธาตุพิการ (ภาษาอังกฤษ : Indigestion หรือ Dyspepsia) หมายถึง อาการไม่สบายท้องตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ ที่เกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังการรับประทานอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เรอบ่อย แสบท้อง เรอเปรี้ยว คลื่นไส้หรืออาเจียนเล็กน้อย เป็นต้น ส่วนสาเหตุการเกิดนั้นมีได้หลากหลาย และมีตั้งแต่สาเหตุเล็กน้อยไปจนถึงโรคที่รุนแรง และความผิดปกติ (พยาธิสภาพ) อาจอยู่ทั้งในและนอกกระเพาะลำไส้ บางคนเป็นครั้งคราว บางคนอาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
สาเหตุอาหารไม่ย่อย
เนื่องจากอาการอาหารไม่ย่อยเป็นอาการแสดงของโรค ซึ่งมิใช่โรคที่จำเพาะชนิดใดชนิดหนึ่ง จึงอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้หลายอย่าง โดยประมาณ 40% ของผู้ป่วยจะสามารถตรวจพบสาเหตุของอาการได้ แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 60% จะหาสาเหตุของอาการไม่พบ (อาหารไม่ย่อยชนิดไม่มีแผล) ซึ่งแพทย์สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมาก หรืออาจสัมพันธ์กับฮอร์โมน ความเครียดทางจิตใจ อาหาร หรืออาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์
- อาหารไม่ย่อยชนิดไม่มีแผล (Non-ulcer dyspepsia หรือ Functional dyspepsia) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ประมาณ 60% ของผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อย ซึ่งในปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน (ไม่ว่าจะตรวจด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม ซึ่งรวมทั้งการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้)
- โรคแผลเพ็ปติก (Peptic ulcer) ซึ่งเป็นแผลที่เกิดบนเยื่อบุกระเพาะอาหาร (Stomach) ที่เรียกว่า “โรคแผลกระเพาะอาหาร” (Gastric ulcer) หรือเป็นแผลที่เยื่อบุลำไส้เล็กส่วนต้น (Doudenum) ซึ่งเรียกว่า “โรคแผลลำไส้เล็กส่วนต้น” (Duodenal ulcer) โดยเป็นกรณีที่พบได้ประมาณ 15-25%
- โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease) เป็นกรณีที่พบได้ประมาณ 5-15%
- กระเพาะอักเสบ/กระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) ซึ่งเป็นการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร
- กระเพาะอาหารขับเคลื่อนตัวช้า ทำให้มีอาหารตกค้างในกระเพาะอยู่นาน เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม มีแผลหรือเนื้องอกในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
- โรคของตับ ตับอ่อน และถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ
- โรคมะเร็งกระเพาะอาหารและโรคมะเร็งหลอดอาหาร เป็นกรณีที่พบได้น้อยกว่า 2% ส่วนใหญ่จะพบในคนอายุตั้งแต่ 40-50 ปีขึ้นไป (ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่ โรคติดเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori infection), การมีประวัติผ่าตัดกระเพาะอาหารมาก่อน, มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือเป็นผู้ที่อพยพมาจากพื้นที่ที่มีความชุกของมะเร็งกระเพาะอาหารสูง)
- โรคอื่น ๆ เช่น โรคกังวลทั่วไป, โรคซึมเศร้า, โรคหัวใจขาดเลือด, โรคเบาหวาน, โรคขาดน้ำย่อยบางชนิด (เช่น น้ำย่อยน้ำนม), โรคลำไส้แปรปรวน, โรคการดูดซึมอาหารผิดปกติ (Malabsorption syndrome), โรคลำไส้ขาดเลือด, ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (ทั้งต่อมไทรอยด์เป็นพิษและต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย), ต่อมหมวกไตทำงานน้อย, Collagen vascular disease, การมีพยาธิในลำไส้ เป็นต้น
- เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาสเตียรอยด์ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาเม็ดโพแทสเซียมคลอไรด์ เฟอร์รัสซัลเฟต ทีโอฟิลลีน เตตราไซคลีน อิริโทรมัยซิน เป็นต้น
วิธีรักษาอาหารไม่ย่อย
แนวทางการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย คือ การรักษาไปตามสาเหตุ (ในรายที่ทราบสาเหตุ) เช่น การรักษาโรคแผลเพ็ปติก การปรับเปลี่ยนยาเมื่อเกิดจากผลข้างเคียงของยา เป็นต้น ส่วนในรายที่ไม่ทราบสาเหตุ (อาหารไม่ย่อยชนิดไม่มีแผล ซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่) แนวทางการรักษาหลัก ๆ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการให้ยาต่าง ๆ เช่น ยาลดกรด (Antacids), ยาเพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้, ยาช่วยย่อยอาหาร (Digestive drug) และยาขับลม (Antiflatulent) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ เช่น
- ถ้ามีอาการแสบท้องเวลาหิวหรือตอนดึก หรือมีอาการจุกเสียดแน่นท้องหลังอาหาร เรอเปรี้ยว หรือมีประวัติรับประทานยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือดื่มแอลกอฮอล์ แพทย์จะให้รับประทานยาลดกรด (Antacids) ร่วมกับยาลดการสร้างกรดกลุ่มต้านเอช 2 (H2 antagonist) เช่น รานิทิดีน (Ranitidine) ถ้ารู้สึกว่าอาการทุเลาลงหลังรับประทานยาได้ 2-3 ครั้ง ให้รับประทานยาติดต่อกันนานประมาณ 8 สัปดาห์ เพื่อครอบคลุมโรคแผลเพ็ปติกที่อาจเป็นสาเหตุของอาหารไม่ย่อยได้
- ถ้ามีลมในท้องหรือเรอ แพทย์จะให้รับประทานยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อหรือยาขับลม (Antiflatulent) หรือยาลดกรดที่มีไซเมทิโคนผสมอยู่ โดยในเด็กเล็กให้รับประทานยาไซเมทิโคน ½-1 หยด (0.3-0.6 มิลลิลิตร) ผสมกับน้ำ 2-4 ออนซ์ (¼-½ ถ้วย) หรือใช้ทิงเจอร์มหาหิงคุ์ทาหน้าท้อง ถ้ายังไม่ได้ผลหรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ให้รับประทานยาเมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) หรือดอมเพอริโดน (Domperidone) ก่อนอาหาร 3 มื้อ
- มีหลักฐานชี้ว่า การบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive behavioral therapy – CBT) สามารถช่วยลดอาการของผู้ป่วยได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานที่มีคุณภาพเพียงพอชัดเจนสำหรับการลดอาการอาหารไม่ย่อยในผู้ป่วยทุกราย แต่อาจใช้ในกรณีผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องของอารมณ์ที่ผิดปกติร่วมด้วย เช่น โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) เป็นต้น
อาการอาหารไม่ย่อยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ประมาณ 7% ของผู้ป่วยทั้งหมด และคิดเป็น 50% ของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการของระบบทางเดินอาหารในเวชปฏิบัติทั่วไป ผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อยนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งมักจะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง จนส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง